โดยการขับเคลื่อนสมรสเท่าเทียมในปัจจุบันถือว่าเข้าสู่ระดับกลาง ผ่านการต่อสู้ของภาคประชาชน และกำลังเข้าสู่ชั้นนิติบัญญัติ แต่อยากจะให้สังคมยกระดับคำถามที่สูงขึ้น เพราะเส้นทางที่ยากที่สุดอาจจะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายฉบับนี้อาจกำลังสร้างคำถามให้คนอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นต้องขยายความสำคัญ หัวใจของกฎหมายฉบับนี้ให้ชั้นนิติบัญญัติ และสังคม เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ตระหนักรู้ พร้อมเตรียมการที่จะโอบรับกับสิ่งที่เป็นสิ่งใหม่ของสังคมไทย เช่น ต่อไปจะมีครอบครัวเพศเดียวกัน มีสิทธิในครอบครัว สิทธิในมรดก สิทธิในตัวของเด็ก ฯลฯ ที่สังคมจะต้องรับรู้และรับทราบ ซึ่งข้อมูลการศึกษา งานวิจัย รวมถึงข้อมูลทางการแพทย์ ของกลุ่ม LGBTQIAN+ ต้องถูกนำมาเปิดเผยให้มากขึ้น เพื่อสื่อสารสู่สังคมไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ที่สำคัญคือต้องไม่มองว่าคนรุ่นเก่าเป็นคนยึดติด หรือไม่พร้อมปรับเปลี่ยนตามกระแสสังคม
“ผมเชื่อว่าในชั้นของวุฒิสภา เราเปิดกว้างมากโดยเฉพาะท่านที่อาวุโส เวลานี้เขากำลังฟังข้อมูลจากพวกเรา ถ้าเราไปดักข้อกังวลในอนาคตที่จะเกิดขึ้น และตอบข้อกังวลที่อาจจะถาโถมเข้ามา ยิ่งสังคมรับรู้มากขึ้นเท่าไหร่ นั่นคือความแข็งแกร่งที่จะเป็นเหตุ และผลในอนาคต บนพื้นฐานหลักนิติธรรมที่ให้การรับรอง” นายอนุพร กล่าว
นอกจากนี้นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองประธาน กมธ.วิสามัญ พิจารณาร่างฯ สมรสเท่าเทียม กล่าวว่า ขณะนี้ สมรสเท่าเทียมอยู่ในขั้นตอนการบรรจุเข้าสู่วาระสอง และสาม ซึ่งคาดว่าน่าจะบรรจุในวันที่ 27 มี.ค.67 เพื่อให้ทันสู่ขั้นตอนของวุฒิสภา และผ่านโดยไม่มีข้อโต้แย้งเนื่องจากในการประชุมใน กมธ.วิสามัญ สัดส่วนของภาคประชาชน และพรรคการเมือง ค่อนข้างมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่อาจมีในรายมาตราที่ภาคประชาชนอาจจะสงวน เช่น เรื่องบุพการี ซึ่งน่าจะโหวตกันในรายมาตราวันที่ 27 มี.ค.นี้
ขณะที่ในชั้น กมธ.วิสามัญ แม้จะใช้ฉบับของ ครม.จะเป็นหลัก แต่ก็ได้เปลี่ยนแปลงสาระที่สำคัญมากบางส่วนตามความเห็นของภาคประชาชน และบริบทสากล เช่น การกำหนดอายุการจดทะเบียนสมรสที่ 18 ปีบริบูรณ์ โดยเชื่อว่าสาระสำคัญในการเปลี่ยนแปลงบริบทของกฎหมายฉบับนี้ คือ จะสามารถโอบอุ้มสังคมโดยใช้กฎหมายเป็นแม่แบบ ซึ่งจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคมของประเทศไทยครั้งสำคัญ ก่อนจะไปยังกฎหมายอื่น ๆ เพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม
ด้านผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร คลินิกเพศหลากหลาย โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยการสำรวจของสมาคมจิตแพทย์เด็ก ในสหรัฐอเมริกา ของกลุ่มครอบครัวที่เป็นหญิงรักหญิง พบว่า เมื่อเทียบกันครอบครัวที่เป็นชายหญิง ดัชนีความสุขไม่แตกต่างกัน และไม่มีจำนวนการเพิ่มขึ้นของเด็กที่เป็น LGBTQIAN+ อย่างที่หลายฝ่ายกังวล อย่างไรก็ตามมีหลักฐานที่ชี้ได้ว่า เด็กเหล่านี้เผชิญกับการถูกกลั่นแกล้ง แต่ทางออกไม่ใช่การไม่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพราะกังวลว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น แต่เป็นการสนับสนุนสภาพแวดล้อม มีกฎหมายรับรองสิทธิความเป็นมนุษย์ว่าตัวเองไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป
ส่วนการศึกษาในประเทศไทย จากการทำงานของ ผศ.พญ.จิราภรณ์ พบว่า เด็กที่อยู่กับครอบครัวของพ่อแม่ที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากพ่อแม่ที่เป็นชายหญิงเช่นเดียวกัน และพบว่าการเปิดใจเคารพความแตกต่างหลากหลาย จะช่วยทำให้ครอบครัวเหล่านี้สามารถก้าวข้ามความยากลำบาก เผชิญความท้าทายที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งในกลุ่มตัวอย่างแสดงชัดเจนว่าการที่มีพ่อแม่มีความหลากหลายทางเพศ เด็กที่เกิดมาสามารถที่จะมีพัฒนาการต่าง ๆ เป็นปกติ ไม่แตกต่างจากพ่อแม่ทั่วไป ที่สำคัญเด็กที่เติบโตไปอย่างมีความสุข จะช่วยสร้างให้เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีกับตัวเอง คนอื่น และสังคมต่อไปในอนาคต
ขณะที่ อ.นาดา ไชยจิตต์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้สรุปถึงสาระสำคัญต่อหลักนิติธรรม ในการคุ้มครองสิทธิในการจัดตั้งครอบครัว ว่า หลักนิติธรรมหมายถึงการปกครองภายใต้กฎหมาย รวมถึงทุกคน ทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนที่รับผิดชอบต่อกฎหมายที่มีอย่างเป็นทางการ ที่สำคัญที่สุดกฎหมายนั้นต้องยุติธรรม ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามวัดความยุติธรรมว่าเป็นอย่างไร เราพูดถึงการที่คนเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายอย่างไร ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับเรื่องของการปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ ดังนั้นการมีหลักนิติธรรม คือการต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่
ฉะนั้นเมื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศคือสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรมจึงต้องเป็นหลักที่เคารพสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ตามหลักการกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ได้มีการตีความไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า สิทธิในเรื่องของเพศวิถี การแสดงออกทางอัตลักษณ์ เพศสภาพ คุณลักษณะทางเพศ หรือเพศสรีระของตัวเอง ถูกรับรองไว้ในมาตรฐานกลไกสิทธิมนุษยชนแล้ว ฉะนั้นสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวไม่ใช่แค่เรื่องของเพศวิถี แต่คือเรื่องของสิทธิในการกำหนดเจตจำนงในวิถีทางเพศของตัวเอง ในอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเอง
โดย สมรสเท่าเทียม จึงรวมถึงคนที่มีอัตลักษณ์ที่มีความแตกต่างอื่น ๆ คนที่นิยามตัวเองว่าไม่ได้อยู่ในเพศขนบแบบเดิมจะได้รับการคุ้มครองหลักนิติธรรมอย่างไร ซึ่งความผูกพันที่รัฐจะต้องมีต่อประชาชนในทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศซึ่งเชื่อมโยงไปถึงหลักนิติธรรม มีสิ่งที่จะต้องทำ 3 อย่างคือ
การปกป้อง – มาตรการทางกฎหมายที่ทำให้คนทุกคนเข้าถึงความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายได้ รัฐต้องจัดการแก้ไขให้กับบุคคลที่มีอัตลักษณ์แตกต่างไปจากความเป็นสามีภรรยา ความเป็นบิดามารดา ในรูปแบบการที่การสมรส สิทธิในการก่อตั้งครอบครัวในรูปแบบเดิมเชิงประวัติศาสตร์ ทำอย่างไรที่จะให้หลักกฎหมายที่กำลังจะพิจารณาทำให้เกิดหลักความเสมอภาค
การเคารพ – หลักนิติธรรมที่เกี่ยวข้อง คือ ต้องไม่ทำให้บุคคลรู้สึกเสียหาย ด้อยค่า หรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น การมีกฎหมายที่บังคับให้หญิงข้ามเพศเป็นพ่อ เท่ากับละเมิดหรือด้อยค่าโดยไม่คำนึงถึงหลักการเคารพ
การเติมเต็ม – ถ้ากฎหมายยังไม่มีคำที่สะท้อนถึงความเป็นกลางทางเพศ หรือรื้อถอน ระบบเพศแบบสองเพศ เท่ากับกฎหมายไม่ได้เติมเต็มการเป็นตัวตน จึงเป็นที่มาของการใช้คำว่าบุพการี ที่ทำให้ปราศจากความรู้สึกกดทับเชิงโครงสร้าง ไม่ต้องกระอักกระอ่วนในการพูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว