นายถาวร เสนเนียม อดีตรมช.คมนาคม และส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว “Top News” ถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า รัฐบาลยังคงประคับประคองอยู่ต่อไปให้ได้ แม้ว่าพ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 จะผ่านไปแล้วก็ตาม บทเรียนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่อยู่ในอำนาจมา 7 ปี ถ้าจะยุบสภาหรือลาออก ไม่มีหลักประกันที่จะบอกได้ว่าจะกลับมาเป็นผู้มีอำนาจในฐานะผู้นำรัฐบาลได้ การเปลี่ยนการบริหารในพรรคพลังประชารัฐเป็นเรื่องปกติ แต่พล.อ.ประยุทธ์จะต้องใช้ประสบการณ์เงียบ สงบ สยบการเคลื่อนไหว รวมถึงการต่อรองอำนาจ ที่พรรคฝ่ายค้านเดินผิดแนวทางในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถที่จะเอาชนะพรรคร่วมรัฐบาลได้ ที่สำคัญเขาไม่ได้ถอดบทเรียนว่าในอดีตรัฐบาลที่อยู่ไม่ได้นั้น จะต้องพิสูจน์การทุจริตให้มีพยานหลักฐานหรือจับให้ได้คาหนังคาเขาถึงจะล้มรัฐบาลนั้นได้ ดังนั้นการที่พรรคฝ่ายค้านเดินผิดแนวทางไปตีศูนย์รวมความเคารพนับถือเทิดทูนยกย่องถือเป็นการโจมตีผิดจุด เป็นเหตุให้การเดินเกมทุกครั้งไม่สามารถขยับได้สูงกว่านี้อีกแล้ว ประกอบกับพล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจมานาน มีประสบการณ์ในการบริหารอำนาจก็สามารถที่จะอยู่ได้
เมื่อถามว่า ณ วันนี้ เสถียรภาพรัฐบาลยังมีความเป็นปึกแผ่นหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ความเป็นปึกแผ่นต้องดูกัน แม้กระทั่งชั่วข้ามคืนก็เปลี่ยนอะไรได้ เช่นในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เสียงลือการเคลื่อนไหวในกลุ่มสมาชิกบอกว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเอาตัวไม่รอด เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวที่จะล้มพล.อ.ประยุทธ์ หรือเปลี่ยนแปลงภายในรัฐบาล แต่ปรากฎว่าเมื่อเขาขยับตัวได้แล้วเดินเกมได้ทันก็กลับมาสู่การจัดสรรปันส่วนอำนาจกันอีกครั้งหนึ่ง ทำความเข้าใจกันอีกครั้งก็สามารถที่จะอยู่ในอำนาจได้ ตนคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จากประสบการณ์อยู่ในอำนาจมานานสามารถแก้ไขปัญหาได้ ยกเว้นประชาชนจับได้ไล่ทันว่ารัฐบาลนี้ทุจริต ไม่ว่าจะจากพรรคการเมืองหรือรัฐมนตรีคนไหน หนีไม่พ้นที่นายกฯจะต้องรับผิดชอบ เพราะประชาชนยอมไม่ได้ที่จะให้อยู่ในอำนาจ
เมื่อถามว่าโจทย์หินวันนี้อีกอย่างคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายถาวร กล่าวว่า จะมองว่าเป็นโจทย์หินก็ได้ เป็นความตั้งใจจะเข้าสู่อำนาจอย่างต่อเนื่องในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ได้ของนักการเมืองชุดนี้ ทั้งนี้ขอให้ย้อนกลับไปการใช้รัฐธรรมนูญที่มีการเลือกตั้งโดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2540 ปี2544 ปี2548 ปี 2550 ปี 2554 และมาใช้บัตรใบเดียวในปี 2562 ทั้งนี้การเลือกตั้งปี 2544 ระบอบทักษิณได้เสียงข้างมาก แม้จะไม่เกินครึ่ง แต่ไปซื้อยกเข่ง เซ้งยกพรรคจนมีอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาฯ ใช้กระบวนการผลินนโยบายประชานิยมจนกระทั่งประชาชนชื่นชอบ เมื่อเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2548 ระบอบทักษิณได้ส.ส.มาอีก 377 คะแนน คราวนี้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว จนนำไปสู่การรวบอำนาจ ผูกขาดอำนาจในการหาผลประโยชน์ และเกิดเผด็จการรัฐสภา กลุ่มพันธมิตรฯและประชาชนทนไม่ได้ก็ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านจนบาดเจ็บล้มตายไป และถูกดำเนินคดีติดคุก ผลปรากฏเกิดรัฐประหารในปี 2549 หลังจากนั้นปี 2550 เลือกตั้งใหม่ โดยรัฐธรรมนูญที่เขียนใหม่ก็ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ ปรากฏว่าระบอบทักษิณยังคงได้เสียงข้างมากคือ 233 เสียง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ในช่วงนั้นนายกฯถูกให้ออกจากตำแหน่ง และมีการยุบพรรคพลังประชาชน เปลี่ยนขั้วอำนาจจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และต่อมายุบสภาฯในปี 2554 หลังจากเลือกตั้งปรากฏว่าระบอบทักษิณกลับมาชนะอีกครั้งโดยพรรคนายทักษิณสามารถนำคะแนนได้ 265 เสียง ร่วมกับพรรคการเมืองบางพรรคจัดตั้งรัฐบาลและนำไปสู่การผูกขาดอำนาจแบบกินรวบ หาผลประโยชน์และเกิดเผด็จการรัฐสภา ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิดและผู้ที่ทุจริตคิดทรยศต่อประเทศชาติ จนกระทั่งเรียกว่ารัฐบาลทรราชย์ ทำให้มวลมหาประชาชนทนไม่ได้ รวมถึงพวกตนลาออกจากส.ส.มาต่อสู้กันข้างถนนเป็นระยะเวลา204 วัน ล้มตายไป 25 คน บาดเจ็บ 800 กว่าคน ติดคุกไปแล้วร่วม 100 คน ในระหว่างนี้ถูกดำเนินคดีและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปมาก
“สรุปแล้วถ้าบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเกิดขึ้นและนำมาใช้เมื่อไหร่ ระบอบทักษิณยังคงมีเสียงข้างมาในรัฐสภาและนำไปสู่การรวบอำนาจ แสวงหาผลประโยชน์และเกิดเผด็จการรัฐสภา ก็วนกลับมาดูว่าก่อนที่จะมีการยื่นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เกิดพี่โทนี่ วู๊ดซัม ซึ่งหลายปีพี่โทนี่ไม่เคยเข้ามาปรากฏในวงการการเมือง และเรียกร้องว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย การบริหารประเทศของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศ ดังนั้นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขระบบการเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวเป็นบัตรสองใบ เพราะทักษิณทราบแล้วว่าการแก้ไขแบบนี้ พรรคของตัวเองจะได้เสียงที่หนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สิ่งที่อยากเตือนสติไปยังพรรคการเมืองที่จับมือกัน นั้นคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้บัตรเลือกตั้งสองใบประโยชน์เกิดขึ้นกับระบอบทักษิณ สิ่งที่ทักษิณคิดว่าตัวเองกลับมาประเทศโดยไม่ต้องติดคุก กลับมาอย่างเท่ห์ๆได้ มี 2 วิธีคือ 1.การปฏิวัติประเทศไทยโดยใช้การเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่ม 3 กีบ ที่ใช้ชื่อต่างๆนานาที่ต้องการปฏิวัติประเทศไทยด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลดอำนาจพระมหากษัตริย์ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ ที่พระองค์ท่านใช้อำนาจและพระบารมีของท่านผ่าน 3 สถาบัน คือนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ เป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในระบอบปกครองประชาธิปไตยของประเทศไทยที่ไม่ได้สร้างความเสียหาย มีแต่สร้างคุณูปการต่อการปกครองทุกพระองค์ แต่นายทักษิณมองว่าถ้าจะกลับประเทศไทยก็จะใช้วิธีนี้ และเข้ามาสถาปนาอำนาจ ซึ่งประชาชนมองเห็นเป็นวิธีที่ยาก เคลื่อนไหวมาต่อเนื่องก็แป๊กทุกครั้ง ส่วนวิธีการที่ 2 คือการนิรโทษกรรม ที่จะต้องมีการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาฯให้ได้ พรรคของนายทักษิณต้องเป็นผู้นำรัฐบาลและเป็นนายกฯให้ได้ เหมือนกับการเลือกตั้งปี 2544 ปี2548 ปี2550 และปี 2554 มาออกลายเด่นชัดโดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินหน้าเสียงกับพรรคเพื่อไทยชูสโลแกน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ และออกกฎหมายนิรโทษกรรม เป็นวิธีที่นายทักษิณคิดว่าง่ายที่สุดและมั่นใจว่ากลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับโทษ พรรคเพื่อไทยจึงมาคุยกับพรรคพลังประชารัฐก็อาจจะมีการต่อสายทางตรงหรือทางอ้อมกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงเกิดการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า และระบอบทักษิณกลับมา” นายถาวร กล่าว
นายถาวร กล่าวว่า สิ่งที่ควรจะแก้ไขคือต้องให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชน นั้นคือการปฏิรูปประเทศไทย แต่กลับไม่แก้ สิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านควรจะแก้คือปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูปตำรวจ การกระจายอำนาจ การแก้ไขเพื่อต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ รวมถึงการดำเนินการให้ได้มาซึ่งอุดมคติของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในการรักชาติ และบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในประเทศ ปรากฏว่าพรรคการเมือง 3 พรรค ไม่ได้แก้เรื่องนี้ แต่กลับไปแก้วิธีการเลือกตั้งส.ส. จำนวนส.ส.และการแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อนักการเมืองและพรรคการเมือง ถ้าแก้สำเร็จจะเกิดปรากฎการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก โดยพรรคใหญ่ได้เสียงมาก การถ่วงดุลภายในสภาไม่เกิด เกิดการกินรวบประเทศไทย ผูกอำนาจหาผลประโยชน์โดยกลุ่มนายทุนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อนายทุนมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล เป็นนักการเมืองในสภาฯ และเป็นคณะรัฐมนตรี ทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจโดยพรรคใหญ่ ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญจากบัตรเลือกตั้ง 1 ใบมาเป็น 2 ใบ ไม่สามารถตอบโจทย์ประเทศได้
นายถาวร กล่าวว่า ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 ในวันที่ 10 ก.ย. มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเกิดมีตำแหน่ง ส.ว. 250 คนเกิดขึ้นมาด้วยวิธีนี้ เพราะที่ผ่านมาการได้ซึ่ง ส.ว. ไม่ได้มาแบบนี้ เราหันกลับไปดูการแก้รัฐธรรมนูญหลังจากปฏิวัติปี 57 ผู้ที่เข้ามาแก้ไขชุดแรกคือนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ปรากฏว่าไม่ถูกใจ คสช.ที่เข้ามาเพื่อกวาดล้างทักษิณ ปราบการทุจริตและการผูกขาดอำนาจจึงเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ โดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ ที่ถูกใจ เพราะเห็นรูปแบบการมีส.ว. 250 คนเข้ามาเพื่อถ่วงดุล และมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวที่ไม่เอาเสียงของประชาชนทิ้งน้ำ และไม่ให้เกิดพรรคใหญ่กินรวบอำนาจอยู่ในรัฐสภา เมื่อเป็นเช่นนี้ในวันที่ 10 ก.ย. นี้ ตนทวงถาม และทวงบุญคุณไปยัง ส.ว.ว่าคุณมีตำแหน่งอยู่ในรัฐสภาเข้ามาได้อย่างไร ทั้งที่ต้องเข้ามาทำหน้าที่เพื่อปฏิรูปประเทศและกลั่นกรองไม่ให้เกิดเผด็จการรัฐสภา ถ้าคุณแก้รัฐธรรมนูญเอาบัตรสองใบเอามาใช้เมื่อไหร่ นั่นหลายความว่า คุณหวนกลับไปอุ้มระบอบทักษิณ อุ้มเผด็จการรัฐสภา อุ้มพรรคการเมืองใหญ่และนายทุนเข้ามาโกงกินประเทศ สุ่มหัวผูกขาดอำนาจ
“การโหวตครั้งนี้ถ้าคุณหลงใหลได้ปลื้มกับใครก็แล้ว จนไปยกมือให้กับบัตรสองใบกลับเข้ามา นั่นคือคุณลืมพันธะสัญญาที่รับปากกับประชาชนว่าจะให้เข้ามาเป็นผู้ถ่วงดุล คุณไม่ต้องคิดว่าจะไปถ่วงดุลวันเลือกนายกฯ ถ้าพรรคหนึ่งพรรคใดเสียงข้างมาก หรือรวมเสียงกันได้เกินครึ่งแล้ว คุณจะไปโต้แย้งหรือโหวตสวน ประเทศชาติจะลุกเป็นไฟ น้ำหน้าอย่างพวกคุณไม่มีทาง และไม่กล้าเสียสละออกไปยืนข้างถนน ดังนั้นคิดเสียใหม่ในวันนี้ เพื่อนพ้องน้องพี่ ส.ว. 250 คน วันนี้ความคิดผมไม่สามารถพึ่งพาพรรคการเมืองพรรคใหญ่ได้ เพราะเขาแก้เพื่อพรรคการเมืองและนักการเมือง แต่ ส.ว.จะต้องเข้าไปเป็นผู้ถ่วงดุลคนที่ฉ้อฉลการใช้อำนาจของประชาชน พรรคการเมือง และนายทุนใหญ่ ผมขอร้องหวนกลับไปคิดใหม่ว่าการเข้ามาของท่านนั้นมีพันธะสัญญาล้างระบอบทักษิณ ต่อต้านการปฏิรูปสถาบันด้วยวิธีการปฏิวัติ ท่านต้องเป็นผู้ถ่วงดุลในรัฐสภา ยืนยันที่จะไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นประเด็นท้าทาย ส.ว. และฝากความหวังไว้ที่เสียงของท่านในวันที่ 10 ก.ย.” นายถาวร กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ว. บางส่วนยืนยันว่าจะลงมติรับวาระ 3 โดยอ้างว่ารับหลักการในวาระ 1 และวาระ 2 นายถาวร กล่าวว่า หลายครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ ข้อมูลใหม่ คิดใหม่ ข้อเท็จจริงใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องตระบัดสัตย์หรือเป็นเรื่องการทรยศ แต่การที่ท่านลืมพันธะสัญญาที่เข้ามาตั้งแต่ต้นในการกวาดล้างระบอบทักษิณ ถ่วงดุลอำนาจพรรคการเมืองใหญ่ และความประสงค์ร้ายของนักการเมืองชั่วๆ ที่เป็นเผด็จการรัฐสภา นั่นคือการรักษาไว้ซึ่งอำนาจประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า หากอนาคตพรรคพลังประชารัฐยังชู “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ การใช้เลือกตั้งบัตร 2 ใบ “บิ๊กตู่” ยังจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า อยู่ที่พฤติกรรมการบริหารของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ยึดอำนาจมาว่าจะเข้ามาปฏิรูปประเทศ ตนอยากทวงถามว่าลืมพันธะสัญญานั้นหรือยัง ถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษ และเป็นนายกฯในดวงใจ ต้องไม่รูปหน้าปะจมูกบริหารประเทศ และไม่เกรงใจนายทุนที่เข้ามาสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค และต้องไม่เกรงใจคนข้างท่าน ผลประโยชน์ของประชาชน และการแก้ไขปัญหาประเทศคือการตอบโจทย์ ต้องรักชาติและรักสถาบัน ไม่ใช่รักแต่คำพูด ดังนั้น บิ๊กตู่ จะเป็นนายกฯต่อหรือไม่ อยู่ที่ตัวของท่านเอง เมื่อท่านออกมาทำรัฐประหาร ถ้าท่านไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรม อย่างน้อยก็จะติดคุกเหมือนตน หรืออาจถูกประหารก็ได้ถ้าแพ้ แต่วันนี้ท่านชนะ ถ้าลืมประชาชน อย่าหวังจะได้กลับมาเป็นนายกฯอีก
เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ “บิ๊กตู่” ยื่นดาบให้ศัตรูเอามาฆ่าตัวเอง นายถาวร กล่าวว่า” ยื่นปืนใหญ่ให้กับศัตรู เพื่อถล่มเมือง ไม่ใช่ดาบ และเป็นวิธีการที่นายทักษิณจะกลับมาอย่างสง่างามโดยไม่ต้องรับโทษ คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีทางเดียวคือมีเสียงข้างมาในสภาฯ และวิธีการเดียวคือใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งเสียง ส.ว. ถือเป็นด่านสุดท้ายแล้ว”