ดร.จามาล วาคิม ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยเลบานอน ได้แสดงความเห็นกับสำนักข่าวแทสของรัสเซียว่า ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีที่โครคัส ซิตี้ ฮอลล์ มีเป้าหมายที่ใหญ่นั่นก็คือ การผลักดันให้เกิดช่องว่างระหว่างรัสเซียและโลกอิสลาม ซึ่งแผนการที่ร้ายกาจคือ หว่านความเกลียดชังทางศาสนาในรัสเซีย เพื่อพยายามทำให้สถานการณ์ภายในรัสเซียไม่มั่นคง จนอาจกระทบไปถึงการทำสงครามกับยูเครน
วาคิมระบุต่อว่า มันมีคำถามที่น่าถามว่า ทำไมไอซิสจึงต้องจัดการก่อการร้ายขนาดใหญ่ในรัสเซีย ท่ามกลางความขัดแย้งในฉนวนกาซา เหตุใดผู้ก่อการร้ายจึงไม่ก่อวินาศกรรมต่ออิสราเอลหรือฐานทัพสหรัฐเลย ซึ่งก็มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นว่า กลุ่มชาติตะวันตกรู้สึกหงุดหงิดกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ของรัสเซียกับรัฐอาหรับและรัฐอิสลาม รวมถึงมีความเห็นตรงกันต่อนโยบายของรัสเซีย ในการกำหนดระเบียบโลกที่มีหลายขั้วอย่างยุติธรรม ซึ่งทำให้สหรัฐ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส พร้อมที่จะใช้วิธีการต่างๆที่จำเป็น เพื่อหยุดสิ่งนี้ไม่ให้เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ทางด้านของนิวยอร์กไทมส์ สื่อดังของสหรัฐก็ได้ออกบทความระบุว่า การขาดความไว้วางใจระหว่างสหรัฐและรัสเซีย ทำให้สหรัฐไม่สามารถแบ่งปันข่าวกรองทั้งหมดที่ครอบครองอยู่ เกี่ยวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในรัสเซียได้ โดยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐในรัสเซีย ได้ออกคำเตือนแก่พลเมืองอเมริกันเกี่ยวกับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงมีการส่งข้อความที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ไปยังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัสเซียแบบแยกต่างหากด้วย แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นศัตรูกันระหว่างสหรัฐและรัสเซีย ทำให้เจ้าหน้าที่สหรัฐ ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับแผนการดังกล่าวได้เกินกว่าที่จำเป็น เพราะเกรงว่าทางการรัสเซียอาจเรียนรู้แหล่งที่มาหรือวิธีการของข่าวกรองได้
ทั้งนี้ สำหรับคำเตือนสาธารณะเมื่อวันที่ 7 มีนาคม สถานทูตสหรัฐได้ระบุถึงภัยคุกคามขั้นรุนแรง ที่น่าจะเกิดขึ้นในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐเข้าใจผิดเรื่องจังหวะเวลาการโจมตี หรือกลุ่มหัวรุนแรงลงมือล่าช้า เพราะเห็นการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น