ตำรวจไซเบอร์ บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ ลักลอบตั้งฐานในไทย พบเหยื่อเพียบ

ตำรวจไซเบอร์ บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ ลักลอบตั้งฐานในไทย พบเหยื่อเพียบ

พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร คณะกรรมการ กสทช.ด้านกฎหมาย / พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผุ้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ / พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติรายใหญ่ ลักลอบตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกคนไทยและชาวจีน สามารถจับกุมผู้ต้องหารวม 90 คน พร้อมยึดของกลางคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทำผิดกฎหมายหลายรายการ

สืบเนื่องจากเมื่อปลายปี 2566 ตรวจสอบพบมีเครือข่ายคนจีนจำนวนมาก มีการเคลื่อนไหวรวมตัวกันมาตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงเอาทรัพย์สินจากคนจีน ชาวญี่ปุ่น ชาวรัสเซีย และคนไทย ในพื้นที่ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช จึงลงพื้นที่สืบหาข้อมูลและที่ตั้งจนพบว่า มีกลุ่มชาวจีนมาเช่าห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งเปิดเป็นสำนักงาน และฐานบัญชาการคอยสั่งการไปยังจุดย่อยอีก 3 จุด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ อ.ฉวาง โดยมีคนไทยจำนวนมากเข้ามาทำงานให้กับในขบวนการดังกล่าวในการโทรติดต่อหาเหยื่อ โดยผ่านการชักชวนให้เข้ามาร่วมลงทุนสกุลเงินดิจิทัล และเล่นพนันออนไลน์หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งหลอกให้ซื้อสินค้า โดยมีการสร้างเพจและใช้อุบายต่างๆ หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ เพื่อโอนเงิน

ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่นำหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้นพร้อมกัน 4 จุด โดยจุดที่ 1 เป็นห้องพักในโรงแรมจินเฮง เลขที่ 567 ม.3 ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช พบชาวจีน 11 คน คนไทย 16 คน คอมพิวเตอร์ 71 เครื่อง โทรศัพท์ 178 ไอแพด 4 เครื่อง เร้าเตอร์อินเตอร์เน็ต 5 เครื่อง

 

 

 

จุดที่ 2 เป็นอาคารพาณิชย์เรียงติดกัน 3 คูหา เปิดเป็นสำนักงานบริษัทฟ่านยา การค้าระหว่างประเทศ จำกัด ในพื้นที่หมู่3 ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย หลังแรกบ้านเลขที่ 865 พบคนไทย 1 คน คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หนังสือเดินทาง 1 เล่มและเครื่องสำอางหนีภาษีจำนวนมาก หลังที่ 2 บ้านเลขที่ 866 พบคนจีน 2 คน คอมพิวเตอร์ 57 เครื่องและโทรศัพท์ 26 เครื่อง และหลังที่ 3 บ้านเลขที่ 868 พบคนจีน 2 คน คนไทย 7 คน คอมพิวเตอร์ 15 เครื่อง โทรศัพท์ 8 เครื่อง เร้าเตอร์ 4 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 80 เล่มและซิมโทรศัพท์ 200 ซิม

ส่วนในจุดที่ 3 เป็นบ้านหรู 3 หลัง ภายในหมู่บ้านจันดีแกรนวิลล่า ม.3 ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย หลังแรกบ้านเลขที่ 825 พบคนไทย 11 คน ชาวจีน 1 คน คอมพิวเตอร์ 8 เครื่อง โทรศัพท์ 21 เครื่อง เร้าเตอร์ 5 เครื่อง และสินค้าประเภทเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกจำนวนมาก / หลังที่ 2 บ้านเลขที่ 826 พบชาวจีน 13 คน คอมพิวเตอร์ 24 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 408 เครื่อง อาวุธปืนยาว จำนวน 1 กระบอกและบัตรเครดิต 2 ใบ หลังที่ 3 บ้านเลขที่ 827 พบชาวจีน 4 คน คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง เครื่องอออินวัน 7 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 184 เครื่อง เร้าเตอร์ 2 เครื่อง และซิมโทรศัพท์ 98 ซิม

และจุดที่ 4 เป็นโกดังฟูจิ สินค้าญี่ปุ่นมือสอง เลจที่ 488 หมู่7 อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช พบชาวจีน 22 คน คอมพิวเตอร์ 58 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 44 เครื่อง CPU 2 เครื่อง ซิมการ์ด 185 ซิม เร้าเตอร์ 6 เครื่อง และUSB 2 อัน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

หลังจากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมผู้ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ทั้งหมด รวม 90 คน แยกเป็นชาวจีน 55 คน คนไทย 35 คน พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์ 228 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 1,037 เครื่อง ไอแพด 4 เครื่อง เร้าเตอร์อินเตอร์เน็ต 21 เครื่อง CPU 2 เครื่อง USB 2 อัน ซิมโทรศัพท์ 521 ซิม บัตรเครดิต 2 ใบ สมุดบัญชีธนาคาร 80 เล่ม อาวุธปืนยาว 1 กระบอกและเครื่องสำอางหนีภาษีอีกจำนวนมาก โดยในแต่ละจุดที่เข้าตรวจค้นพบหนังสือเดินทางของผู้ต้องหาชาวจีน หลายคนมีการเดินทางเข้า-ออก ประเทศผ่านทางกัมพูชาบ่อยครั้ง

จากการสอบสวน นายหลิน ซัว จาว (LIN SHUOZHAO) อายุ 30 ปี ชาวจีน ให้การอ้างว่า เป็นแค่เพียงพนักงานมีหน้าที่คอยดูแลในส่วนต่างๆเท่านั้น ส่วนนายทุนใหญ่ระดับผู้สั่งการอยู่ที่ประเทศจีน นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มชาวจีนท้้งหมดที่ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่ใช้หนังสือเดินทางเข้ามาไทยผ่านทางประเทศกัมพูชา และมีบางส่วนเดินทางโดยตรงจากจีนเข้ามาในไทย เพื่อแฝงตัวเข้ามาในลักษณะนักท่องเที่ยว

อีกทั้งมีการชักชวนกันมาทำงาน ก่อนมารวมตัวกันตั้งแก๊งหลอกเหยื่อมานานเกือบ 1 ปี โดยมีการจัดหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระะบบ เริ่มตั้งแต่ ผู้ดูแล ฝ่ายช่างเทคนิค ฝ่ายแปลภาษาและคอยตอบแชทการสนทนา แผนกการเงินและแผนกโทรติดต่อหาเหยื่อ ซึ่งพนักงานที่เป็นคนไทยจะได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาทต่อคน ส่วนพนักงานชาวจีนจะได้ค่าตอบแทนเดือนละ 40,000 บาท

 

เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา “เป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ภาค2 และเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นช่อง โจร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 “

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ผบก.ภ.ปทุมฯ ยันแจ้ง 4 ข้อกล่าวหา "พีช บีเอ็ม" แค่เบื้องต้น เร่งสอบสภาพรถ คำให้การลุงป้า นำพิสูจน์ฟ้องผิด
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ เจ้าของฉายา "สิงห์สนามศุภฯ" เสียชีวิตแล้วในวัย 77 ปี
"กองทัพบก" เสียใจ สูญเสีย "พ.อ.พิฆราช" นายทหารจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกู้ภัยเหตุตึกสตง.ถล่ม ตั้งแต่ 28 มี.ค.จนนาทีสุดท้าย ไม่เคยหยุดภารกิจ
อย่าหลงเชื่อ "คลิปวัดร่องขุ่นถล่ม" ว่อนโซเชียลฯ "อ.เฉลิมชัย" ลั่น AI มันร้าย
"ไพศาล" เผย "อนุทิน" พูดเองภท.ไม่มีปัญหาร่วมรัฐบาล ยังสนิทแน่นแฟ้น "ทักษิณ"
"ท็อป วราวุธ"นำประชุมพรรคชาติไทยพัฒนา เผยยึดคำพ่อบรรหาร เน้นทำงานให้ปชช. สร้างพันธมิตรการเมือง
"นายกฯ" ขอบคุณทุกภาคส่วน พอใจนโยบายลดตายเจ็บ 7 วันอันตราย ลดลงกว่าปีที่แล้วกว่า 25%
"นทท.ต่างชาติ" ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล เริ่ม 1 พ.ค.นี้ ตามกฎใหม่
เปิดเทอมนี้ ครูทุกคนต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” หลังออกมาตรการ 5 ต. คุมเข้มทุกโรงเรียนทั่วไทย
"อุตุฯ" เตือน 49 จังหวัด รับมือฝนฟ้าคะนอง-ลมกระโชกแรง กทม.โดนด้วย

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น