"พท." รุกคืบนโยบายเรือธง "แจกเงินดิจิทัล" ทันจังหวะเลือกตั้งท้องถิ่นนายกอบจ.โกยแต้มต่อทางการเมือง "ทักษิณ" รีฟอร์ม "พท." ให้ยิ่งใหญ่เหมือนยุค "ทรท." - "ก้าวไกล" เพลี่ยงพล้ำเจอมรสุมยุบพรรค ซ้ำเติมข่าวฉาว บุหรี่ไฟฟ้า กากแคดเมียมกระทบภาพลักษณ์
ข่าวที่น่าสนใจ
“แจกเงินดิจิทัล” ทันจังหวะเลือกตั้งท้องถิ่นโกยแต้มต่อทางการเมือง
เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ รัฐบาลถูกปรามาสว่าไม่มีทางทำได้ เพราะคิดว่าน่าจะติดล็อกข้อกฎหมาย ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ออกมาเบรกเพราะหวั่นเกรงว่าจะเกิดทุจริตซ้ำรอยจำนำข้าว หรือ ฝ่ายตรงข้ามรุมถล่มว่ากู้มาแจกสร้างหนี้ให้กับประเทศและคนรุ่นหลัง จนทำให้ดูเหมือนว่านโยบายดังกล่าวจะเป็นไปไม่ได้ จากเดิมที่วางแผนกู้มาแจก 5 แสนล้านบาท ปรับเปลี่ยนเป็นใช้งบประมาณปกติ มีแหล่งเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท และการบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมายต่าง ๆ เช่น มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดว่ารัฐต้องดำเนินนโยบายการคลังตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคม และต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งกำหนดว่าการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย สำหรับช่วงเวลาการดำเนินโครงการ ประชาชนและร้านค้าจะสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และจะมีการเริ่มใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
หากมองนัยทางการเมือง ได้จังหวะพอดีกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ นายกอบจ. ทั่วประเทศ จะดำรงตำแหน่งครบ 4 ปี และหมดวาระลงในช่วงปลายปี ประมาณวันที่ 20 ธ.ค. 2567 โดยจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง 76 จังหวัด ภายใน 45 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ ย่อมจะสามารถนำผลสัมฤทธิ์ของนโยบายไปหาเสียงการเมืองท้องถิ่นได้แต้มต่อทางการเมือง
รีฟอร์ม “พท.” ให้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เหมือนยุค “ทรท.”
ขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นำสูงสุดของพรรคเพื่อไทย ในที่ประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทยได้ประกาศว่า “ผมบอกได้เลยว่า ไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทยหรือไทยรักไทย ว่าจะเป็นพรรคอนุรักษนิยม แต่พรรคเพื่อไทยจริงๆ สร้างมาจากไทยรักไทยเป็นพรรคที่รีฟอร์มหรือเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง”
อ่านนัยทางการเมืองระหว่างบรรทัด นายทักษิณ ต้องการฟื้นฟูพรรคเพื่อไทยให้กลับมายิ่งใหม่เหมือนยุคพรรคไทยรักไทยเรืองอำนาจจากนโยบายประชานิยม ดังเช่นแจกเงินดิจิทัลที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้ เป็นเหตุให้นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช ออกมาดักคอว่า การที่คุณทักษิณปฏิเสธว่า พรรคเพื่อไทยไม่มี DNA อนุรักษ์นิยมใหม่ เป็นพรรคที่รีฟอร์มมาจากพรรคไทยรักไทยก็จริง แต่ปัจจุบันได้กลายพันธุ์ เมื่อจับมือกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่า ผนึกกำลังทางการเมือง เพื่อขัดขวางการเข้าสู่อำนาจ ของพรรคก้าวไกล ก็กลายเป็นหัวขบวนของกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ไปโดยปริยาย อย่าปฏิเสธความจริงอีกเลย
“ก้าวไกล” กุมขมับเจอมรสุมยุบพรรค ซ้ำเติมข่าวฉาวกระทบภาพลักษณ์
ขณะที่พรรคก้าวไกล คู่แข่งทางการเมือง เจอมรสุมทางการเมืองสารพัดรุมเร้า ไล่ตั้งแต่นับถอยหลังถูกยุบพรรค ยิ่งเกิดข่าวฉาว 2 เรื่องใหญ่ นั้นคือ เรื่อง บุหรี่ไฟฟ้าดันไปมีโลโก้และสีส้มสัญลักษณ์พรรค จนทำให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ว่า กรณีรัฐบาลแถลงจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า และมีโลโก้พรรคก้าวไกลด้วยคำกล่าวที่ว่า ตามที่ทีมโฆษกพรรคได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า อย่าหยุดแค่เห็นว่ามันสีอะไร แล้วโลโก้อะไร ทำให้เห็นเลยว่าใครเป็นเบื้องหลังในการกระทำอันนี้ ตามให้เต็มที่ ไม่หยุดในเรื่องการตามต่อ อยากเห็นเหมือนกันว่าใครเป็นตัวการในเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด ขอย้ำอีกครั้ง ส่วนจะเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง โดยผลิตมาเพื่อใส่ร้ายพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น ถ้าพูดตรงๆหากใส่โลโก้พรรคอื่นตนกลัวว่ามันขายไม่ได้แค่นั้นเอง เขาก็เลยใส่โลโก้พรรคก้าวไกล อีกทั้งตนไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือสนับสนุน หรือต่อต้านอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนตั้งแต่แรก
ขณะที่คดียุบพรรค ทุกอย่างเตรียมตามขั้นตอน ซึ่งเท่าที่ฟังจากข่าวน่าจะหลังเดือนเมษายนไปแล้ว ก็คงเตรียมคำชี้แจงที่แตกต่างจากคำต่อสู้เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ส่วนรายละเอียดขอคุยกับฝ่ายกฏหมายอีกครั้ง ยังให้รายละเอียดไม่ได้ แต่บอกได้ระดับหนึ่งว่าแตกต่างจากคำชี้แจงคราวที่แล้วแน่นอน เพราะคนละมาตรากัน
หรือกรณีล่าสุดพบกากแคดเมียมกลางกรุงที่เกี่ยวโยงกับบริษัทที่มีนามสกุลเดียวกับนักการเมืองดังแห่งพรรคก้าวไกล เป็นเหตุให้ น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล ชี้แจง ว่า ส่วนในเรื่องที่เนอส และเจ้าของโรงงานมีนามสกุลเดียวกันนั้น เนื่องจากคุณเจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย เป็นคุณอา น้องของพ่อ โดยเมื่อก่อนรุ่นอากงทำธุรกิจค้าของเก่าเป็นกงสี แต่บริษัทของคุณพ่อเนอสได้แยกออกจากกงสีมาตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีมากกว่า 20 ปีแล้ว ส่วนเนอสเองก็ออกจากบริษัทของคุณพ่อมามากกว่า 5 ปีแล้ว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าของเก่าในเขตบางซื่อหรือสมุทรสาครแต่อย่างใด
น.ส.ภัทราภรณ์ ระบุอีกว่า มาลงสนามการเมืองแค่ต้องการทำให้เขตบางซื่อที่อยู่มาตั้งแต่เกิดดีขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดหรือกระทำการใดที่จะเอื้อประโยชน์หรือปกป้องเครือญาติและครอบครัว หากใครทำงานในสำนักงานเขตบางซื่อและ กทม. ก็น่าจะทราบดี ที่ไปลงพื้นที่วันนี้ก็เพราะเป็นการทำงานปกติที่ทำมาอยู่ตลอดในเขตอยู่แล้วในฐานะ ส.ก. ตนเชื่อในความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นพ่อ แม่ ครอบครัว หรือญาติกันก็ตาม เมื่อคนเท่ากันก็ต้องเท่ากันในการบังคับใช้กฏหมายทุกมาตราด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง