เดิมที “ธรรมนัส” ไม่ใช่ชื่อแรกของเขา เขาเปลี่ยนมาแล้วหลายชื่อ อาทิ มนัส, ยุทธภูมิ กลับมาเป็น มนัส และเปลี่ยนเป็น พชร ส่วนนามสกุลเปลี่ยน 2 ครั้ง จาก โบกพรหม มาเป็น พรหมเผ่า โดยมีชื่อเล่นที่ พ่อแม่ตั้งให้ว่า “นัท”
ร.อ.ธรรมนัส เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 25 และจบนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 36 รุ่นเดียวกันกับ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ ต่อมา อาชีพข้าราชการทหารของเขาได้สิ้นสุดลง เมื่อปี 2542 หลังจากไปเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมหนุ่มนักเรียนนอก ต่อมาในปี 2546 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องตัวเขากับลูกน้องที่เป็นทหารในคดีดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ “ธรรมนัส” เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทรักษาความปลอดภัย จากนั้นก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น รถเมล์, อสังหาริมทรัพย์, ตลาด และยี่ปั๊วขายสลาก และแน่นอนว่า ธรรมนัส เคยเป็นยี่ปั๊วรายใหญ่ของประเทศ
“ร.อ.ธรรมนัส” เข้าสู่เส้นทางการเมือง โดยเริ่มต้นแตะมือที่พรรคไทยรักไทยของ “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อปี 2542 และด้วยความที่เป็นคนพื้นเพ จ.พะเยา จึงมีความสนิทสนมกับ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างมาก บทบาทภายในพรรค ของ ร.อ.ธรรมนัส ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาได้รับคำชมอย่างมาก หลังเจาะพื้นที่ภาคเหนือของพรรคเพื่อไทยได้หลายเขต ไม่ว่าจะเป็นที่ จ.พะเยา ที่ไม่เคยมีพรรคใดมาเจาะได้
ต่อมา หลัง คสช.รัฐประหาร และมีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ ร.อ.ธรรมนัส ได้รับการชักชวนจากผู้ใหญ่ให้มาร่วมงานการเมือง โดยรับตำแหน่งประธานยุทธศาตร์ภาคเหนือ ดูแลพื้นที่เลือกตั้ง จัดวางตัวผู้สมัคร และผลงานของเขาน่าพอใจ เข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่อย่างมาก
ในอดีตคนทั่วไปอาจมองว่า ร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้มากอิทธิพล แต่คนเมืองกว๊าน ถือว่าเขาเป็นพ่อพระของคนพะเยา โดยเฉพาะการช่วยเหลือคนยากไร้ คนด้อยโอกาส และด้วยความที่เป็นคนเข้าถึงง่าย ปฏิเสธชาวบ้านไม่เป็น จึงเป็นที่รักของกลุ่ม อปท. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มข้าราชการอย่างยิ่ง
ถึงแม้คดีความต่างๆของเค้าจะ จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การถูกขุดคุ้ยทั้งเรื่องคดียาเสพติดในต่างประเทศ และวุฒิการศึกษายังทำให้คนกังขา ไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใส กลายเป็นที่มาของฉายา และวาทะ ‘มันคือแป้ง’ หลังการตอบคำถามซักฟอกในสภา กลายเป็นวาะทะแห่งปี 2563 กระทั่งล่าสุดยืนยันความบริสุทธ์อีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ ธรรมนัส ไม่ขาดคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็น ส.ส. หรือ รัฐมนตรี เพราะคดีในออสเตรเลีย ไม่ถือเป็นคำพิพากษาของศาลไทย
ที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส เคยกล่าวถึงประเด็นที่ใครๆ ก็มองเขาเป็นมาเฟียไว้ว่า “มาเฟียเป็นภาพติดตัวผมมาตั้งแต่อยู่กับ เสธ.ไอซ์ คำว่ามาเฟียกับนักเลงมันต่างกัน นักเลงคือคนที่ใจเป็นนักเลง คนใจนักเลงคือถึงไหนถึงกัน กล้าได้กล้าเสีย รักเพื่อนฝูง แต่มาเฟียคือกลุ่มอิทธิพลที่รังแกคน ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพล อยู่บนผลประโยชน์ ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น แต่ผมไม่ปฏิเสธว่าผมเป็นนักเลง เพราะเรามันคนใจนักเลง