ข่าวที่น่าสนใจ
แต่ในมุมมองของคอการเมืองอย่าง “นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอย่างมั่นใจว่าพอครบกำหนดเส้นตาย 3 พฤษภาคมนี้ ฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า พรรคก้าวไกลจะไม่ชี้แจงแก้ต่างอะไร เพราะพรรคก้าวไกลชี้แจงไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม ซึ่งเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไว้แล้ว แต่ครั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ได้ส่งเรื่อง 44 สส.ที่ลงชื่อร่วมแก้ไขมาตรา 112 มาด้วย ฉะนั้นในวันที่ครบกำหนดแก้ต่างคดีล้มล้างการปกครอง ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ได้ส่งอะไรมา ศาลจะนัดอ่านคำพิพากษาแน่นอน แปะข้างฝาไว้ได้เลยว่าจะเป็นวันที่ 10 หรือ วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ประจวบเหมาะกับวันที่ 11 พฤษภาคม สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ชุดเก่าจะหมดอายุไปพร้อมกับอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 แต่ถ้าจะดิ้นรนเปลี่ยนขั้วรัฐบาลคงทำไม่ได้อีกแล้ว
ยิ่งนับถอยหลังเลือกตั้ง สว.ชุดใหม่ 200 คน ยิ่งได้เห็นการเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากคดียุบพรรคอนาคตใหม่ อัดฉีดแคมเปญ 1บ้าน 1 ผู้สมัคร สว. เดินสายรณรงค์อย่างหนักหน่วง ประเดิมแคมเปญล่องใต้ไปจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้ผู้เลือกสว.ได้สิทธิลงคะแนนเลือกคนที่จะเป็น สว. การกระทำเช่นนี้ของนายธนาธร ในสายตา “นายสมชาย แสวงการ” สว.เห็นว่า “เข้าข่ายฮั้ว” ในกระบวนการเลือกกันเองของสว. หาก กกต. ไม่ดำเนินการใด ๆ เชื่อว่าจะมีปัญหาในกระบวนการได้มาของสว.จะมีผู้ไปร้องเรียน ที่อาจทำให้เกิดปัญหาได้ในอนาคตได้ นั้นคือ ล้มกระดานเลือกตั้งสว.ชุดใหม่
นายสมชาย กล่าวอีกว่า อีกไม่กี่วันจะครบ 1 ปีของการเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ยังไม่พบว่า กกต. ได้ดำเนินการเอาผิดเกี่ยวกับผู้ที่ทุจริตในการเลือกตั้ง ที่พบว่า 71 บัญชี แต่พบว่าดำเนินการเพียง 1 บัญชี คือ ให้ใบแดง เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนที่เหลือพบว่ายกไป 30 บัญชี ส่วนอีก 40 บัญชี กกต. ยังไม่ดำเนินการใดๆ หรือจะปล่อยผี กรณีดังกล่าวสังคมตั้งคำถามว่า กกต. ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ กรณีของ กกต.ไม่ดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนทุจริตเลือกตั้งของ สส.หากเกิดขึ้นกับ สว.ชุดใหม่ที่เลือกกันเอง มีกรณีการร้องเรียนของผู้ที่ประสงค์เป็นสว. แต่ไม่ได้ เพราะมีกระบวนการจัดตั้ง กระบวนการฮั้วกันของกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง หรือกลุ่มบ้านใหญ่ แล้ว กกต.ปล่อยผีไปก่อน แล้วสอยทีหลังอาจจะเกิดกรณีที่ทำให้มีปัญหากระทบต่องานสภา และทำให้เกิดสุญญากาศได้
แว่วข่าวว่าทิศทางการพิจารณาคดีล้มล้างการปกครองฯ ไม่น่าพลิกล็อค กรรมการบริหารพรรคจะโดนโทษแบนห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดทะเบียนขึ้นใหม่เป็นระยะเวลา10 ปี จึงเช็กท่าทีแกนนำพรรคก้าวไกล ทั้งนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ออกอาการปากกล้าขาสั่น ปากบอกจะสู้คดีเต็มที่แต่กลับยืดเวลาแก้ต่างออกไป ขณะเดียวกันตัวเองก็รู้ชะตาล่วงหน้าว่า พรรคก้าวไกลถูกยุบแน่ จึงออกมาปั่นกระแสยิ่งยุบยิ่งโตราวติดเทอร์โบ
ดั่งคำพูดที่นายพิธา กล่าวว่า เรากลับมาสู้กันในระบบดีกว่า เพราะทุกการกระทำ มีผลลัพธ์ของการกระทำ ผมก็ยังไม่รู้ว่า คนที่มีอำนาจจะยุบพรรค ถามตัวเองหรือยังว่า ยุบแล้วได้อะไรขึ้นมา ในระยะสั้นนั้นอาจทำ ให้พวกผมอ่อนแอลงแต่อย่าลืมว่ามันคือการติดเทอร์โบ ให้กับพวกผมเหมือนกัน ซึ่งจะทำ ให้ได้แต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ส่วนที่มีการมองว่าคำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำ ลาย ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ในการยุบพรรคนั้น นายพิธา ระบุว่า กฎหมายมีหลายมาตรา เพราะฉะนั้นต้องดูกฎหมายมาตรานั้น มีเจตนารมณ์อย่างไร มีไว้ป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำ ก็สัดส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นอันที่จะต้องถึงประหารทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำลายพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งมันกระทบกับประชาธิปไตยทั้งหมด ฉะนั้น แค่มีคำวินิจฉัยแบบเดิมมา ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำ หนักโทษเท่ากัน ในส่วนของเรา เรายังมีเวลาในการทำคำชี้แจงทางกฎหมายไป
ขณะที่ นายชัยธวัช กล่าวว่า การเติบโตของพรรคก้าวไกล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไม่ยุบ หรือยุบพรรค แต่ขึ้นอยู่กับแนวทางการทำงาน รวมถึงนโยบายที่จะสามารถตอบโจทย์กับพี่น้องประชาชน ได้หรือไม่ คงไม่มีใครหวังว่าตัวเองจะถูกยุบเพื่อให้เติบโตขึ้น เรายังเชื่อมั่นว่า ถ้าพรรคสามารถฝ่าฟันอุปสรรคตรงนี้ไปได้เรายิ่งเติบโต ก็ยิ่งเข้มแข็ง
บรรดาคอการเมืองที่ติดตามคดีนี้มองว่า หากพิจารณาคความผิด และข้อกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ว่า มีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังมีพฤติกรรมบ่อนเซาะทำลายสถาบัน ทาง กกต. ส่งเรื่องให้ทางศาลรัฐธรรมนูญยุบหรือไม่ยุบพรรคเท่านั้น ไม่ได้จะวินิจว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ ดังนั้น กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล และให้ตัดสิทธิ์ทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี
คณะก้าวหน้าของ นายธนาธร เดินหน้ายึดสภาสูง เพราะมั่นใจว่าแนวร่วมพรรคส้มยังเหนียวแน่ สามารถส่งเครือข่ายเข้าวินได้สำเร็จ ขณะที่ พรรคก้าวไกล เหลือเวลาน้อยเต็มทน เพราะรู้ชะตากรรมตัวเองว่าถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10ปี จึงพยายามซื้อเวลาให้นานที่สุด จะได้มีเวลาตั้งหลักไปปั้นนักรบแถว 3 ขึ้นมาแทน เพราะนักรบแถว 2 ยุค “พิธา” และ “ชัยธวัช” หรือ เหล่าสส.ตัวตึงโดนโทษแบนกันระนาวไม่เหลือ สู้ศึกการเลือกตั้งในอีก 3 ปีข้างหน้าหลังรัฐบาลชุดปัจจุบันหมดวาระและจัดการเลือกตั้งใหม่
จับตาดูนอมินีพรรคก้าวไกล และ ร่างทรงคณะก้าวหน้าลงสนามเลือกตั้ง สว. เร็วๆนี้ ไม่นานได้รู้กัน ยิ่งยุบยิ่งโต หรือ ยิ่งยุบยิ่งฝ่อกันแน่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
