“บิ๊กโจ๊ก” ลั่นถึงเวลาต้องสู้ มั่นใจโดนแกล้ง กางข้อกม.ชี้ตร.ไร้อำนาจสอบผิด

ล่าสุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า หลังจากตนเองถูกดำเนินคดีและเข้าสู่ขบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม นาน 6 เดือน กระทั่งนำมาสู่คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน วันนี้ถึงเวลาที่ตนต้องออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง โดยจะเน้นไปที่การกระทำผิดในส่วนของคดีอาญา บุคคลผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จะไม่พูดถึงสำนวนคดีว่าใครผิด ใครถูก

พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้แสดงเอกสารข้อมูล รายละเอียดข้อกฎหมาย เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ การสอบสวน ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ , ดีเอสไอ และ ป.ป.ช. โดยชี้ให้เห็นว่ามีความไม่ถูกต้อง โดยระบุว่า คดีนี้เริ่มจากการดำเนินคดีกับลูกน้องตนทั้ง 8 คน ก่อนจะมีการขยายผลมายัง ตนและ ลูกน้อง รวม 5 คน แต่ต่อมาทาง ป.ป.ช. ได้มีมติเรียกกลับสำนวน เพราะเป็นคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง และมียอดสินทรัพย์เกินกว่าอำนาจการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

โดยตามกระบวนการ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น ก่อนส่งให้ ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ จากนั้นปรากฎว่าพนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนคดี ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อนำส่งสำนวนต่อ ป.ป.ช. ในคราวเดียวกัน และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ในการพิจารณาว่าจะมีเหตุจะรับพิจารณาหรือไม่ อย่างไร ซึ่งตนมองว่าการทำหน้าที่สอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.เตาปูน เป็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นให้สังคมได้เห็นแล้ว

“ในความผิดฐานฟอกเงินถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องเป็นอำนาจ ป.ป.ช. สอบสวน โดยถ้าหากมีความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI โดยพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ DSI ภายใน 15 วัน แต่ทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้าน แต่ภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่ถ้าหากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้”