นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนให้ทั่วถึงนั้น ความคืบหน้าล่าสุดกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างวางหลักเกณฑ์ เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เพื่อเตรียมเสนอคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พิจารณาก่อน
สำหรับการลงทะเบียนรอบใหม่ จะเปิดให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ์เข้ามาลงทะเบียน คาดว่าจะมีกลุ่มตกหล่นจากมาตรการของรัฐที่ผ่านมาที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น กรณีไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถเข้าร่วมบัตรคนจนได้อีกกว่า 2 ล้านราย ขณะเดียวกันผู้ที่ได้รับสิทธิ์เดิมมีจำนวน 13.65 ล้านคน ก็ยังต้องมาลงทะเบียนใหม่ เพราะกระทรวงการคลังจะมีการปรับเงื่อนไขผู้ได้รับสิทธิ์ ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เกณฑ์การลงทะเบียนรอบใหม่นี้ จะช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง
นายธนกร กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น หลังจากผู้ประกอบการเริ่มทยอยเปิดกิจการร้านอาหาร รวมถึงร้านค้าต่างๆ ตามเงื่อนไข COVID-Free Setting ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นที่จะออกมาใช้จ่ายมากขึ้นภายใต้การป้องกันตัวเองแบบครอบจักรวาล Universal Prevention อย่างระมัดระวังสูงสุด ทำให้ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม รวม 38.77 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 74,910.1 ล้านบาท แบ่งเป็น
1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 24.08 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 64,660.8 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 32,877.1 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 31,783.8 ล้านบาท
2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 73,464 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,986 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 70 ล้านบาท
3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.52 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 7,668.6 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.10 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 524.7 ล้านบาท
นายธนกร กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลัง พร้อมโอนวงเงินคนละครึ่งรอบที่ 2 จำนวน 1,500 บาท ในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ คาดว่าจะสามารถเชื่อมกับระบบ Platform Delivery ได้ต่อไป โดยผู้ที่ใช้จ่ายวงเงิน 1,500 บาท ในรอบแรก ( 1 ก.ค.-30 ก.ย. 2564) ไม่หมด สามารถนำไปทบในรอบ 2 ได้ ไม่ถูกตัดสิทธิ์และใช้จ่ายได้จนถึง 31 ธ.ค. 2564 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือให้เข้าถึงประชาชนโดยตรงและเร็วที่สุด เร่งแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของคนไทยทุกคนอย่าให้ตกหล่น ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันอย่างเต็มกำลัง