ศาลอาญาคดีทุจริตฯ รับฟ้อง “4 บิ๊กกสทช.” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สั่งปลด “ไตรรัตน์” รักษาการเลขาธิการฯ Top News รายงาน
ข่าวที่น่าสนใจ
31 พฤษภาคม 2567 มีรายงานระบุว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีมติรับคำฟ้อง คดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของ 4 กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ 1 รองเลขาฯ กสทช.
จากปมปลดสั่งให้นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. พ้นจากตำแหน่งเพื่อสอบสวนกรณีที่ กสทช.ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 จำนวน 600 ล้านบาท ให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย
โดยนายไตรรัตน์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 4 กสทช. และ 1 รองเลขาฯ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
จำเลย 4 กสทช. ได้แก่ พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต, รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย, รศ.ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ และนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ทั้งนี้มีการเปิดเผยว่า การรับฟ้องจะมีผลกระทบกับบอร์ด กสทช.โดยตรง เพราะการที่มีบอร์ดเพียง 3 คนที่เหลือ จะทำให้องค์ประชุมไม่ครบ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ลับ) ที่ 7/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
โดยอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เสนอให้เข้ามาทำหน้าที่ในคณะอนุกรรมการเองท้้งสิ้น และอาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกาศที่เกี่ยวข้องและมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนา กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่ได้ทำไว้กับสำนักงาน กสทช.
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2566 คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จัดทำรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง (ลับ) โดยคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวได้ประชุมพิจารณามีความเห็นในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2566 ด้วยคะแนนเสียงส่วนมาก 4 เสียง มีความเห็นว่า
กรณีการดำเนินการสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุน กทปส. ตลอดจน MOU ที่ได้ทำกับสำนักงาน กสทช. ส่วนอนุกรรมการอีก 2 เสียง ไม่ลงความเห็น
และในวันประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 วันที่ 9 มิถุนายน 2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 : รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด รายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายนั้น ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
2. ที่ประชุมมีการพิจารณาข้อเสนอตามรายงาน ข้อ 1 ที่เสนอว่า การดำเนินการของ การกระทำของนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล (โจทก์) รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้องและมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุน กทปส. ตลอดจน MOU ที่ได้ทำไว้กับสำนักงาน กสทช.
โดยจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ได้ลงมติเสียงข้างมากให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ และลงมติให้มีการเปลี่ยนตัวรองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. (หมายถึงโจทก์) จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น
รายงานข่าวระบุว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่พิจารณาลงมติระเบียบวาระที่ 5.22 เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ข้อ 21 และข้อ 29
จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะ กสทช. จึงไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการลงมติให้ประธานกรรมการหรือสำนักงาน กสทช. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ได้สมคบกันเพื่อใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะกรรมการ กสทช.
โดยวางแผนการและแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ที่ประชุม กสทช. ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 วาระที่ 5.22 มีมติปลดโจทก์ออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้จำเลยที่ 5 โดยเสนอให้ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งจำเลยที่ 5 เป็นผู้รักษาการเลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์
ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์แล้ว ปรากฏว่าสื่อมวลชนได้มีการนำเสนอและเผยแพร่ข่าวที่ กสทช. มีมติปลดโจทก์ และให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้าที่ ผ่านทางสื่อหลายสำนัก หลายช่องทางด้วยกัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากการนำเสนอข่าวดังกล่าว และเสียโอกาสในหน้าที่การงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น