โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 สัดส่วน ได้แก่ 1) เขตอำนาจและกระบวนการ 2) ข้อเท็จจริง 3) สัดส่วนโทษ ซึ่งทางพรรคได้พิจารณาแล้ว ว่าความเคลื่อนไหวในวันนี้ ไม่ได้ต้องการชี้นำสังคม หรือหวังผลเพื่อกดดันศาลในการวิริจฉัย แต่เป็นการพูดตามหลักการ และข้อเท็จจริง ซึ่งพิจารณาแล้วว่า จะไม่ขัดต่อสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญแสดงความกังวลก่อนหน้านี้
นายพิธา เชื่อว่า ศาลรธน. ไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีดังกล่าว โดยมีการอธิบายพร้อมอ้างอิงจากมาตรา 210 ที่ต้องแยกแยะเกี่ยวกับวิธีการและขอบเขตอำนาจ ส่วนกระบวนการยื่นคำร้องของกกต.นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีโอกาสให้พรรคก้าวไกล มีโอกาสรับทราบ โต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐานแต่อย่างได ซึ่งคดียุบพรรคก้าวไกลนั้น มีความแตกต่างกับคดีที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ และพรรคไทยรักษาชาติ เนื่องจาก กกต.ยื่นยุบพรรคตามมาตรา 92 หากเป็นไปตามครรลองทางกฎหมาย จะต้องประกอบด้วยมาตรา 93 แต่หลักเกณฑ์และวิธีการของ กกต.เกี่ยวกับมาตรา 93 เปลี่ยนไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งการยุบพรรคก่อนหน้านี้ ไม่มีการใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว
นายพิธา มองว่า คำวินิจฉัยคดีวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่มีความผูกพันกับคดีนี้ หลายคนอาจเข้าใจว่า ข้อเท็จจริงได้รับการวินิจฉัยแล้ว ในคดี 3/67 (ซึ่งได้ข้อยุติแล้ว) และด่วนสรุปว่า คำวินิจฉัยคดีก่อนผูกพันคดีนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งความเป็นจริงนั้น กรณีที่มีคำพิพากษาแล้วคดีหนึ่ง จะมีความผูกพันกับคดีหนึ่งได้ ก็ต่อเมื่อ 1) ข้อหาเดียวกัน และ 2) ระดับโทษใกล้เคียงกัน
ยกตัวอย่าง คำพิพากษาในคดีแพ่ง ไม่ผูกพันกับคดีอาญา แม้จะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน เนื่องจากความเข้มข้นของการพิสูจน์คดีแพ่ง ต่ำกว่าอาญา สำหรับคดียุบพรรค – ตัดสิทธิ์การเมือง มีสภาพความรับผิด เทียบเท่ากับกฎหมายอาญา
ทั้งนี้ พรรคมองว่าโทษของการยุบพรรคมีได้ แต่ต้องไม่ขัดหลักการ และเป็นการสนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งจะใช้ต่อเมื่อเป็นมาตรการสุดท้าย เมื่อถึงคราวจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลันและไม่มีวิธีแก้ไขอื่น
ส่วนกรณีการผลักดันการแก้ไขมาตรา 112 เป็นข้อกล่าวหาที่สามารถยับยั้งแก้ไขได้โดยรัฐสภา แม้เรื่องมาตรา 112 ยังไม่ได้เข้าสู่การอภิปราย แต่เมื่อถูกบรรจุร่างกฎหมายเข้าไปแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติก็สามารถตรวจสอบและยับยั้งได้ และที่สำคัญ ศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถตรวจสอบความชอบ ด้วยธรรมนูญ ทั้งก่อนและหลังประกาศใช้กฎหมายได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ได้มีการยกกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคการเมือง ในประเทศเยอรมนี ปี 2017 ที่เคยมีการแสดงออกด้วยอุดมการณ์นาซี และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำตัดสิน ‘ล้มล้าง แต่ไม่ยุบพรรค’ เนื่องจากไม่มีหลักฐานอันเป็นรูปธรรมที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จ หรือจะส่งผลต่อการต้องถูกยุบ
ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล เชื่อเจตนาในการเข้าชื่อ ของ สส. ไม่ได้ล้มล้างการปกครอง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ รวมถึงเรื่องต่างๆ ที่เป็นนายประกัน และการที่มีผู้ต้องหา ม.112 เป็นสมาชิกพรรค ยังไม่สิ้นสุดคดี รวมถึงการแสดงออกเกี่ยวกับการแก้ไข ม.112 การกระทำเป็นเรื่องรายบุคคล เป็นเรื่องปัจเจคบุคคล ไม่ได้มาจากมติพรรค ยืนยันศาลไม่มีความเร่งด่วน ที่จะต้องใช้มาตรการยุบพรรค พร้อมย้ำว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเฉพาะ 3 ข้อ เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นกฎหมายรอง ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสินคดีนี้
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ส่วนตัวเคารพในดุลพินิจศาล ไม่ขอก้าวล่วง หากศาลเห็นด้วยว่า สองคดีต่างกัน ก็ควรเปิดโอกาสให้มีการไต่สวน ซึ่งทางพรรคก้าวไกล เตรียมผู้เชี่ยวชาญไว้ไต่สวน มากกว่า 10 คน หากถูกยุบ ก็มีการตรียมตัวไว้ทุกสถานการณ์ ที่มาผ่าน มีการยุบสองพรรคแล้ว ในรอบ 5 ปี และมีการยุบพรรคการเมืองถึง 5 ครั้ง ในรอบ 20 ปี จึงไม่กล้าเดา หรือคิดว่าจะกระทบอะไรกับการเมือง และความเชื่อมั่นในประเทศ
ทั้งนี้ นายพิธา กล่าวทิ้งท้าย ว่าขณะนี้สมาชิกพรรคยังเหนียวแน่น เป็นเอกภาพ และมองการว่า เป็นงูเห่าคือการฆ่าตัวตายทางการเมือง แต่ส่วนตัวไม่ประมาท และไม่ไร้เดียงสาทางการเมือง แต่ก็ไม่ถึงกับกังวล